เคล็ด(ไม่)ลับในการทำ Conversion Rate Optimization บนโลกออนไลน์

ในโลกของการตลาดออนไลน์นั้น มีอยู่สิ่งนึงที่ถือว่าสำคัญแล้วก็จำเป็นมาก ก็คือเรื่องของ “การวัดผลต่างๆ

ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังทำการโฆษณาผ่าน Google Ads หรือว่า Facebook Ads อยู่ คุณก็สามารถที่จะรู้ตัวเลขต่าง ๆ ที่สำคัญได้ เช่น มีคนเห็นโฆษณาเรากี่คน? แล้วคลิกเข้ามาที่เว็บเรากี่คน? เสียค่าโฆษณาต่อคลิกคนละกี่บาท? เป็นต้น

แต่ถ้าผมจะบอกว่าตัวเลขที่สำคัญมากที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณจริงๆ แล้วนั้น…

… คือตัวเลขที่เรียกว่า Conversion ต่างหากครับ 

Conversion คืออะไร?

ทาง Google ให้คำจำกัดความของคำว่า Conversion ไว้ดังนี้ครับ

“สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากลูกค้าโต้ตอบกับโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อผลิตภัณฑ์ ลงชื่อสมัครรับจดหมายข่าว โทรหาธุรกิจ หรือดาวน์โหลดแอป เมื่อลูกค้าดำเนินการที่คุณกำหนดว่ามีคุณค่า การกระทำของลูกค้าเหล่านี้จะเรียกว่า Conversion” 

รูปแบบการวัด Conversions 4 รูปแบบของทาง Google Ads
รูปแบบการวัด Conversions 4 รูปแบบของทาง Google Ads
ส่วน Facebook ก็ให้นิยามของคำว่า Conversion ไว้ดังนี้ครับ “สร้างคอนเวอร์ชั่นด้วยวัตถุประสงค์ของโฆษณาคอนเวอร์ชั่นบนเว็บไซต์ ไม่ว่าคุณจะต้องการการเยี่ยมชมเพจ ยอดขาย หรือการดำเนินการที่มีมูลค่าอื่นๆ ก็ตาม โฆษณา Facebook เหล่านี้ก็จะช่วยกระตุ้นผู้คนให้ไปยังเว็บไซต์ของคุณและทำบางสิ่ง”
ตัวอย่างขั้นตอนของการสร้างแคมเปญบน Facebook ที่มีเป้าหมายต้องการเพิ่มจำนวนของ Web Conversions
SIDENOTE: สังเกตว่า Facebook เขียนทับศัพท์ไปเลยว่า คอนเวอร์ชั่น

นอกจากนี้ Facebook ยังมีโฆษณาที่เรียกว่า Lead Ads ซึ่งสามารถทำให้เกิดคอนเวอร์ชั่นได้เหมือนกัน โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องดึงคนให้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณก่อนเกิดคอนเวอร์ชั่น

คราวนี้ในส่วนของ Konvertive ผมขออนุญาตนิยามคำว่า Conversion ไว้ง่ายๆ ดังนี้ครับ

สิ่งไหนที่คุณต้องการให้พวกเค้าทำ สิ่งนั้นเรียกว่า Conversion

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณอยากให้ผู้คนที่เข้ามายังเว็บของคุณทำสิ่งเหล่านี้…

  • กรอกอีเมล์/เบอร์โทร เพื่อที่ทางฝ่ายขายของคุณจะได้ติดต่อกลับไปพูดคุยเพิ่มเติม
  • ถ้าเค้าใช้มือถืออยู่ คุณก็อาจจะขอให้เค้าแตะที่เบอร์โทรที่อยู่ในหน้าเว็บ เพื่อโทรหาคุณได้เลยทันที
  • หรือต้องการให้พวกเค้าทำรายการสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ พร้อมกับจ่ายเงินทำรายการให้คุณเรียบร้อย
  • อะไรก็แล้วแต่ ฯลฯ ที่คุณต้องการให้พวกเค้าทำ
 

คุณพอจะได้ไอเดียแล้วยังครับว่า ธุรกิจของคุณต้องการให้พวกเค้าทำอะไรให้กับคุณ?

ผมขอพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับ Conversion อีกนิดนึงนะครับ โดยทาง มิสเตอร์ Avinash Kaushik (ซึ่งผมบูชาให้เค้าเป็น เทพเจ้าแห่งการวิเคราะห์เว็บไซต์) ได้แบ่ง Conversion ออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ ดังนี้ครับ

1. "Macro Conversion" หรือเรียกว่าเป็น Conversion หลัก

ซึ่งจะเป็น Conversion ที่คุณจะต้องให้ความสำคัญมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด

ยกตัวอย่างเช่น คุณขายของออนไลน์ Macro Conversion ของคุณก็คือ จำนวนรายการของคนที่ซื้อของ (Transactions) บนเว็บของคุณนั่นเองครับ 

2. "Micro Conversion" ที่จะเป็น Conversion เสริมอื่นๆ

ที่จะช่วยส่งเสริมเพื่อให้เกิด Macro Conversion ในตอนท้ายได้

ยกตัวอย่างเช่น คุณขายของออนไลน์ คนที่เข้ามาเว็บไซต์ของคุณอาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อของกับคุณในทันที แต่เลือกที่จะกรอกอีเมล์ เพื่อแลกกับการได้รับส่วนลดพิเศษจากทางคุณก่อน

ซึ่ง Micro Conversion ในทีนี้ก็คือ จำนวนของอีเมล์ที่คุณได้นั่นเองครับ ซึ่งคุณก็สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากอีเมล์ที่ได้มานี้ ส่งเมล์ไปเชิญชวนให้เข้ามาซื้อของจากเว็บของคุณในอนาคตได้ ซึ่งก็คือ Macro Conversion นั่นเองครับ

หรืออีกแบบง่ายๆ ของ Micro Conversion ก็จะเป็นเช่นการวัดจำนวนของคนที่คลิกปุ่มใส่ตะกร้าก่อนที่จะทำการสั่งซื้อต่อไป

ซึ่งการวัดผลแบบ Micro Conversion นั้นจะสามารถช่วยให้คุณมองเห็นถึงรายละเอียดหรือว่าพฤติกรรมของพวกเค้าตอนที่เข้ามายังเว็บของคุณได้มากขึ้นครับ

ซึ่งก็จะช่วยให้แผนการตลาดออนไลน์ของคุณสามารถพัฒนา เพื่อต่อยอดนำไปสู่ตัวเลขที่ดีขึ้นของ Macro Conversion ต่อไปครับ 

หากว่าคุณวัดแต่จำนวนของ Macro Conversion อาจจะทำให้คุณมองเห็นเป้าใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้มองถึงรายละเอียดเชิงลึกของ Micro Conversion ซึ่งทำให้คุณมองเห็นลูกค้าไม่ครบทุกมิติครับ

แล้ว Conversion Rate คืออะไร?

จากคำจำกัดความของ Wiki ภาษาไทย ได้เขียนเอาไว้ว่า “ในการตลาดอินเทอร์เน็ต, conversion rate เป็นอัตราส่วนของการเข้าชมเนื้อหาในเว็บไซต์ที่กลายเป็นการกระทำใด ๆ ก็ตามที่ผู้ทำสถิติกำลังสนใจ เช่น โอกาสในการขาย, การลงชื่อสมัคร, การกรอกแบบสอบถาม หรือการติดต่อเจ้าหน้าที่ [1] เป็นต้น”
สูตรสมการในการคำนวณ Conversion Rate
สูตรสมการในการคำนวณ Conversion Rate

เมื่อ Number of Goal Achievements คือจำนวนของผลที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย Visits คือปริมาณการเยี่ยมชม

ซึ่งในที่นี้ Number of Goal Achievements ก็คือ Conversion ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นั่นเองครับ

ยกตัวอย่างเช่น

  • มีจำนวนของคนเข้ามาเว็บไซต์ 100 คน (Visits)
  • มีคนกรอกอีเมล์/เบอร์โทร 10 คน (Conversion)
  • Conversion rate เท่ากับ 10%

 

หรือถ้าคุณขายของออนไลน์

  • มีจำนวนของคนเข้ามาเว็บไซต์ 100 คน (Visits)
  • มีคนซื้อของ 3 คน (Conversion)
  • Conversion rate ก็คือ 3% ครับ

 

ทีนี้จากสมการด้านบน จะเห็นได้ว่า ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะเพิ่มตัวเลขของ Conversion Rate

  1. คุณต้องเพิ่มจำนวนของ Conversion ในขณะที่มีจำนวนของ Visits เท่าเดิม หรือ
  2. คุณลดจำนวนของ Visits ลง โดยที่มีจำนวนของ Conversion เท่าเดิม หรือ
  3. เพิ่มจำนวนของ Conversion และ ลดจำนวนของ Visits ในเวลาเดียวกัน

 

ซึ่งวิธีการด้านบนที่ว่านั้น จะมีศัพท์เทคนิคที่เราใช้เรียกกันครับว่า ”การทำ Conversion Rate Optimization” นั่นเอง 

ทำไมถึงต้องทำ Conversion Rate Optimization?

จากสมการในการหา Conversion rate คือ Conversion rate = Conversion / Visits

ดังนั้นสมการในการหาจำนวนของ Conversion ก็คือ Conversion = Visits x Conversion rate นั่นเอง

ทีนี้หากว่าคุณต้องการจะเพิ่มจำนวนของ Conversion สิ่งที่คุณต้องทำหลักๆ ก็คือ

  1. เพิ่มจำนวนของ Visits ให้มากขึ้น
  2. เพิ่มอัตราส่วนของ Conversion rate ให้ดีขึ้น
  3. หรือถ้าจะให้ Perfect แบบ Ed Sheeran ก็ต้องเพิ่มทั้งข้อ 1 และข้อ 2 ด้วย อันนี้ถือว่าสุดยอดเลยครับ

จะเห็นได้ว่าหากว่าคุณสามารถเพิ่ม Conversion rate ได้ ในขณะที่จำนวนของ Visits เท่าเดิม คุณก็จะสามารถเพิ่มยอดของ Conversions ได้เหมือนกัน 

ส่วนการเพิ่มจำนวนของ Visits ในยุคปัจจุบันนี้ ผมคิดว่า “ไม่ยากครับ หากว่าคุณมีเงิน!” ใช่ครับ คุณสามารถที่จะหาคนเข้าเว็บได้ง่ายๆ ในตอนนี้ เอาแค่ 2 ยักษ์ใหญ่อย่าง Google กับ Facebook ก็มีกลุ่มเป้าหมายมากมายที่รอให้คุณไปโฆษณา เพื่อเพิ่มจำนวนของ Visits มาที่เว็บของคุณได้แล้วครับ

ซึ่งปัญหาก็คือ คุณต้องใช้เงิน! เพื่อนำไปจ่ายค่าโฆษณาเหล่านั้นครับ (แต่หากว่าคุณมีเงินเยอะ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาครับกรุณาอ่านต่อ 😉

แต่ผมขอถามคุณก่อนว่า

คุณต้องการที่จะมีคนเข้าเว็บมาเยอะๆ แต่ว่าเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าของคุณได้น้อย

หรือ…

คุณไม่ได้ต้องการคนเข้ามาเยอะแยะมากมาย เพียงแต่ขอให้คนที่เข้ามาแล้ว ได้กลายมาเป็นลูกค้าของคุณเยอะๆ แทน

หากว่าเป็นคุณ คุณจะเลือกแบบไหนดีครับ?

ทีนี้ถ้าคุณไม่ต้องการเพิ่ม Visits เพราะไม่อยากเสียเงินค่าโฆษณาเพิ่มมากขึ้น

แต่คุณเลือกที่จะทำให้ Conversion rate มันดีขึ้นแทน

ซึ่งไอ้สิ่งต่าง ๆ ที่จะช่วยทำให้ Conversion rate ของคุณที่ว่านี้ดีขึ้นได้นั้น ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า

วิธีการทำ Conversion Rate Optimization หรือเรียกสั้นๆ ว่า CRO นั่นเองครับ

ซึ่งถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบวิธีการทำ SEO, SEM/PPC, Facebook Ads ว่าเป็น “นักการตลาด” ที่คอยหากลุ่มลูกค้าที่สนใจให้รู้จักกับสินค้า/บริการของคุณ

CRO ก็จะเป็นเหมือนกับ “นักขาย” ที่จะคอยช่วยปิดการขายให้กับคุณนั่นเองครับ 

วิธีการทำ Conversion Rate Optimization

ก่อนอื่นผมต้องขอบอกไว้ว่า เทคนิคหรือว่าวิธีต่าง ๆ ในการทำ Conversion Rate Optimization นั้น ไม่สามารถที่จะถูกนำมาเขียนถึงได้หมดครบทุกอย่างในโพสนี้ได้

เพราะว่ามันไม่มีสูตรตายตัวครับ!

ซึ่งบางเทคนิคพอลองเอามาใช้กับเว็บนี้แล้วใช้ได้ผล แต่พอนำไปปรับใช้กับอีกเว็บนึงแล้วกลับพบว่าได้ Conversion Rate น้อยลงไปกว่าเดิมด้วยซ้ำครับ

แต่อย่างน้อยเราก็รู้แล้วครับว่า การทำ CRO แบบไหน ได้ผลหรือไม่ได้ผลกับเว็บของเรายังไง

สำคัญคือคุณต้องคอยทดสอบแล้วก็ทำ CRO ให้กับเว็บของคุณเรื่อยๆ ครับ

ยิ่งทำมาก ทดสอบมาก คุณก็จะจะมีตัวเลขของ Conversion Rate ที่ดีขึ้นได้เรื่อยๆ แน่นอนครับ ผมรับรองได้เลย

ขั้นตอนการทำ Conversion Rate Optimization​

ซึ่งจะมีขั้นตอนหลักๆ ใหญ่ๆ ที่คุณต้องทำอยู่ 4 ข้อคือ..

  1. วิเคราะห์ปัญหา
  2. ตั้งสมมุติฐาน
  3. ทดสอบ
  4. วัดผล

 

ซึ่งในแต่ละหัวข้อหลักจะมีรายละเอียดปลีกย่อยของมันอยู่พอสมควร ทางผมและทีมงานขอเวลาเตรียมข้อมูลเพื่อนำมาเขียนให้ทุกคนได้อ่านต่อไปครับ 🙂

ขั้นตอนในการทำ CRO
รูปแสดงขั้นตอนการทำ CRO จาก www.decibelinsight.com

ตัวอย่างการทำ Conversion Rate Optimization หลักๆ ที่ผมมักนำมาปรับใช้ให้กับลูกค้า

การปรับแต่งในส่วนของ Headline

ใช่ครับ แค่เปลี่ยนประโยคหรือคำบางคำในส่วนของ Headline ก็มีผลในเรื่องของ Conversion ได้ละครับ

เพราะว่าเวลาที่คุณเข้าเว็บ สิ่งแรกที่คุณจะเห็น แล้วก็ดึงดูดความสนใจให้คุณอ่านต่อ ก็คือหัวเรื่องของหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ ครับ

ให้คุณลองนึกถึงหนังสือพิมพ์หรือว่าแมกกาซีนก็ได้ครับ สิ่งแรกที่คุณจะเห็นแล้วก็อ่าน ก็คือ “พาดหัวข่าว” นั่นเองครับ

ถ้าคุณเห็นพาดหัวข่าวที่น่าสนใจ แต่พออ่านแล้วไม่ตรงกับสิ่งที่พาดหัว คุณจะทำยังไงต่อครับ?

เว็บไซต์ก็เช่นกันครับ พอเราคลิกเข้าไปแล้วแต่มีหัวข้อไม่ตรงกับเนื้อหาที่เราต้องการ เราก็คงจะออกจากเว็บนั้นทันทีใช่หรือเปล่าครับ?

Buzzsumo Viral Headline
โครงสร้างของการเขียนหัวข้อในแบบฉบับของ Buzzsumo ที่พออ่านแล้วทำให้อยากอ่านเนื้อหาด้านในต่อ

การปรับ Call-To-Action (CTA)

รู้หรือเปล่าครับ? หน้าที่ของนักการตลาดหล่อๆ สวยๆ แบบคุณหลังจากที่สามารถดึงผู้คนเข้ามาที่เว็บของคุณได้แล้ว

สิ่งต่อไปที่คุณจะต้องทำคืออะไร?

สิ่งนั้นก็คือคุณจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเค้าได้รู้ครับว่า “คุณต้องการให้พวกเค้าทำอะไรต่อ?” ซึ่งสิ่งนั้นเรียกว่า Call-To-Action ครับ

คือถ้าเว็บคุณยังไม่มี Call-To-Action ผมขอบอกว่า “เว็บของคุณยังทำไม่เสร็จครับ!” 

หน้าเว็บไหนๆ ที่ยังไม่มี Call-To-Action หมายความว่าหน้าเว็บนั้นๆ ยังทำไม่เสร็จครับ!

ตัวอย่างหน้าเว็บของ British Council ที่ต้องการให้คนคลิกที่ปุ่มเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติม

การปรับเว็บไซต์ให้สามารถโหลดได้เร็วขึ้น

ยิ่งตอนนี้พวกเราอยู่ในยุคของ Thailand 4.0 ด้วยแล้ว เว็บไหนโหลดช้า พวกเราก็ไม่รอครับ เพราะว่ามีเว็บอื่นรอให้เราเข้าไปหาอยู่อีกเพียบเลย

ไม่ใช่แค่วัยรุ่นหรอกครับที่ใจร้อน วัยแก่แบบผมก็หงุดหงิดครับเวลาเปิดเว็บแล้วต้องรอนานๆ กว่าจะอ่านได้ครับ 

ว่ากันว่าที่ Amazon จะมีรายได้เพิ่มขึ้นทุก 1% ต่อการทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้นทุก 100 milliseconds จากโพสของ Crazyegg
ว่ากันว่าที่ Amazon จะมีรายได้เพิ่มขึ้นทุก 1% ต่อการทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้นทุก 100 milliseconds จากโพสของ Crazyegg

การปรับแบบฟอร์ม

ผมขอเอาตัวอย่างของเว็บ e-Commerce พี่ใหญ่ 2 เจ้ามาให้คุณลองเปรียบเทียบกันดูเอาเองครับ ระหว่าง Amazon กับ Lazada

หน้า Create account เพื่อสมัครสมาชิกของ Amazon เว็บขายของออนไลน์อันดับ 1 ของโลก
หน้าสมัครป็นลูกค้าของ Lazada ประเทศไทย
หน้าสมัครป็นลูกค้าของ Lazada ประเทศไทย

จะเห็นได้ว่าเว็บของ Amazon สมัครง่ายกว่าครับ เพียงแค่มีชื่อ อีเมล์ แล้วก็ใส่รหัสผ่าน 2 ครั้ง ก็เป็นสมาชิกเตรียมเสียเงินให้เค้าละครับ

หลักง่ายๆ ครับ ยิ่งคุณมีช่องให้เค้ากรอกข้อมูลเพิ่มมากขึ้น อัตราของ Conversion Rate ของคุณก็จะลดน้อยลงครับ 

การปรับเปลี่ยนรูปแบบการวาง Layout

ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนที่วางตำแหน่งของปุ่ม Call to action หรือจะเป็นการซ่อนเมนูหลักไม่ให้เห็น หรือการเอาเมนูด้านข้างออก เป็นต้น
หน้าเว็บของ DirectAsia ในปี 2017 แบบที่มีเมนูด้านข้าง
หน้าเว็บของ DirectAsia (ปี 2017) แบบที่มีเมนูด้านข้าง
หน้าเว็บของ DirectAsia ในรูปแบบที่เอาเมนูด้านข้างออก ซึ่งทำให้จำนวนของคนคลิกที่ปุ่มเช็คเบี้ย (สีแดง) เพิ่มมากขึ้น
หน้าเว็บของ DirectAsia (ปี 2017) ในรูปแบบที่เอาเมนูด้านข้างออก ทำให้มีจำนวนของคนคลิกที่ปุ่มเช็คเบี้ย (ปุ่มสีแดง) เพิ่มมากขึ้น

การปรับ Conversion Funnel

ผมขอยกตัวอย่างเว็บขายของออนไลน์ละกันครับ คือปกติเวลาเราจะซื้อของ ก็ต้องคลิกผ่านหน้าต่าง ๆ ประมาณนี้

หน้าแรก -> หน้าหมวดหมู่สินค้า -> หน้ารายละเอียดสินค้า -> หน้าเช็คตะกร้าสินค้า -> หน้าจ่ายเงิน -> หน้ายืนยันการทำรายการ

ซึ่งขั้นตอนการซื้อของแต่ละเว็บก็จะไม่เหมือนกันครับ บางเว็บอาจต้องสมัครสมาชิกก่อน ถึงจะซื้อของทำรายการได้

หรือบางเว็บอาจจะมีตัวเลือกในการจ่ายเงินให้คุณเลือกมากกว่า เช่น จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือจะเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร หรือจะเก็บเงินปลายทาง ฯลฯ

ในขณะที่บางเว็บ คุณต้องจ่ายเงินผ่านธนาคาร/ATM เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปสลิปมาให้แม่ค้าดูเท่านั้น

ซึ่งการทดสอบแล้วก็ปรับปรุงหน้าต่างๆ ที่สำคัญๆ ที่อยู่ในขั้นตอนของ Conversion Funnel เหล่านี้ ก็จะสามารถทำให้มี Conversion rate ที่ดีขึ้นได้

ซึ่งการทดสอบแล้วก็ปรับปรุงหน้าต่างๆ ให้ดีขึ้นนั้น เราก็จะทำแบบมีหลักการ

ซึ่งหลักการทดสอบที่ผมแนะนำให้ใช้ก็คือ เทคนิคที่เรียกว่า “การทำ A/B Testing” ครับ

A/B Testing คืออะไร?

ก่อนที่คุณจะทำ A/B Testing เพื่อทดสอบอะไรสักอย่างนั้น เพื่อที่จะทำให้ Conversion Rate ของคุณดีขึ้น

คุณต้องรู้ก่อนครับ ว่าคุณจะทดสอบอะไร?

โดยเราจะใช้ รูปประโยคการตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis) ง่ายๆ ดังนี้ครับ

“หากว่าเราเปลี่ยนจาก A ไปเป็น B จะทำให้ Conversion Rate ของ C ดีขึ้นได้ เพราะ…”

  • A ในที่นี้ก็คือหน้าเว็บในเวอร์ชั่นปัจจุบัน
  • B คือหน้าเว็บที่คุณคิดว่าปรับแล้วจะทำให้ Conversion Rate ของคุณดีขึ้น
  • C ก็คือ Conversion หรือว่าสิ่งที่คุณต้องการให้พวกเค้าทำ 
การทำ A/B Testing จะแบ่งจำนวนของคนเข้าเว็บเป็นครึ่งๆ เพื่อทดสอบดูว่าหน้าเว็บแบบ A หรือ B ที่จะทำให้มี Conversion Rate ที่ดีกว่ากัน
การทำ A/B Testing จะแบ่งจำนวนของคนเข้าเว็บเป็นครึ่งๆ เพื่อทดสอบดูว่าหน้าเว็บแบบ A หรือ B ที่จะทำให้มี Conversion Rate ที่ดีกว่ากัน (Image: thirtybees.com)

โดยที่ข้อดีของการทำ A/B Testing ก็คือ ระบบมันจะทำการแบ่งจำนวนของคนเข้าเว็บ ให้วิ่งไปที่หน้า A กับหน้า B ในจำนวนเท่าๆ กัน

แล้วระบบก็จะนำตัวเลขมาบอกให้คุณรู้ว่า “หน้าเว็บเวอร์ชั่นไหนที่มี Conversion Rate ที่ดีกว่ากัน” โดยที่คุณไม่ต้องเดาเอาเองครับ!

ซึ่งสมมุติฐานทีเราคิดขึ้นมานั้น จะทำให้ Conversion ดีขึ้นมาได้จริงๆ หรือเปล่าก็ยังไม่รู้?

แต่ที่แน่ ๆ ที่คุณจะรู้ก็คือ คุณจะได้รู้ว่า ถ้าคุณปรับจาก A ไปเป็น B แล้ว จำนวนของ C ไม่เพิ่มขึ้นก็ต้องลดลง (ละวะ!)

ซึ่งอย่างน้อยคุณก็ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่คุณทำนั้นมันดี (ก็ทำต่อไป) หรือไม่ดี (ครั้งหน้าอย่าทำ) ยังไง? เพราะว่าเป็นตัวเลขที่คุณเห็นกันจริงๆ แล้วก็มาจากพฤติกรรมของคนที่เข้ามาเว็บของคุณจริงๆ

พอเรารู้ว่าเวอร์ชั่นไหนมี Conversion Rate ที่ดีกว่าแล้ว เราก็ค่อยนำเอาสิ่งที่เราปรับแต่งไปนั้น ไปเปลี่ยนให้เป็นหน้าหลักของเราให้เรียบร้อย โดยที่ไม่ต้องแบ่งจำนวนของคนเข้าเว็บออกเป็นครึ่งๆ เหมือนกับตอนที่คุณทำ A/B Testing ในตอนแรกละครับ

ซึ่งการทำ A/B Testing นั้นจะต้องมีเครื่องมือมาช่วยในการทำด้วยครับ

กรณีศึกษา Obama Campaign 2008

เพื่อให้เข้าใจ A/B Testing มากยิ่งขึ้น ลองมาดูกรณีศึกษาของการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกาในปี 2008 ที่ ทาง Mr. Barak Obama ชนะเลือกตั้งได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีกันครับ

โดยในเคสนี้ถือว่าเป็น “ตัวอย่างโคตรคลาสสิก” ที่มักจะถูกนักการตลาดออนไลน์นำมาพูดถึงอยู่บ่อยๆ ครับ

โดยวัตถุประสงค์ของแคมเปญการหาเสียงของ Obama ก็คือ ต้องการหาคนให้เข้ามาช่วยบริจาคสมทบทุนให้กับแคมเปญหาเสียงของเค้าครับ

โดยที่ทางทีมของฝั่ง Obama นั้น ก็บอกไว้ว่ามีการนำเทคนิคการทำ CRO มาช่วยด้วย เช่น ในส่วนของพวกหัวข้อบทความ พวกรูปภาพ หรือว่าวีดีโอประกอบต่าง ๆ (ที่ดูแล้วทำให้คุณเกิดอารมณ์ร่วม) แล้วก็พวกปุ่ม Call-to-action ในรูปแบบต่าง ๆ ก็สามารถที่จะทำให้มียอดคนเข้ามาบริจาคที่แตกต่างกันได้ เป็นต้น

ซึ่งว่ากันว่ามีการทดสอบกว่า 500 แบบกันเลยทีเดียว สำหรับเคสของ Obama นี้ 

ตัวอย่างการทำ A/B Testing ของแคมเปญหาเสียงของ Obama โดยพบว่าการมีรูปภาพประกอบสามารถทำให้ Conversion Rate ดีขึ้นได้ 6.9%
ตัวอย่างการทำ A/B Testing ของแคมเปญหาเสียงของ Obama โดยพบว่า เพียงแค่มีรูปภาพประกอบก็สามารถทำให้ Conversion Rate ดีขึ้นได้ 6.9%
แต่ก่อนที่เราจะนำเครื่องมือในการทำ CRO มาใช้นั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกเลยก็คือ คุณต้องมีเครื่องมือที่เอาไว้ใช้วัดจำนวนของ Conversions ให้ได้ก่อนครับ เครื่องมือที่ว่าก็คือ Google Analytics ของฟรี (แต่ดี) นั่นเองครับ

การนำ Google Analytics มาใช้วัดผล Conversions

ในปัจจุบันเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะมีการติดตั้งการใช้งาน Google Analytics ไว้อยู่แล้ว

แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่ยังไม่รู้ว่า Conversions หรือว่า Goals (ที่ถูกเรียกใน Google Analytics) คือรายงานที่เกี่ยวกับอะไร? แล้วต้องเข้าไปตั้งค่า Goal กันยังไง?

ผมแนะนำให้ดูคลิปด้านล่างนี้เพื่อให้เข้าใจถึงการวัดผลที่เรียกว่า Conversions หรือว่า Goals ใน Google Analytics กันครับ 

คลิกที่นี่เพื่อดูวีดีโอสอนการตั้งค่า Goals ใน Google Analytics
คลิกที่นี่เพื่อดูวีดีโอสอนการตั้งค่า Goals ใน Google Analytics

ส่วนใครที่ต้องการเข้าไปสร้าง Goal ใน Google Analytics ก็สามารถทำตามได้ผ่านคู่มือนี้ครับ  

หลังจากที่คุณได้ทำการตั้งค่าสร้าง Goal ใน Google Analytics เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่คุณจะได้ลองทำ CRO กันแล้วนะครับ 

เครื่องมือในการทำ CRO ที่แนะนำมีอะไรบ้าง?

Google Optimize

เมื่อประมาณต้นปี 2017 นี้ ทาง Google ได้ออกเครื่องมือที่เรียกว่า Google Optimize ให้ทุกคนสามารถนำไปใช้งานในการทำ CRO ได้ฟรีครับ!
สมัครใช้งาน Google Optimize ได้ฟรีที่ https://www.google.com/analytics/optimize/
สมัครใช้งาน Google Optimize ได้ฟรีที่ https://www.google.com/analytics/optimize/

Optimizely

Optimizely เป็นเครื่องมือที่ฝั่งของประธานาธิบดี Barak Obama นำมาใช้ช่วยในการทำ CRO สำหรับแคมเปญหาเงินจากผู้สนับสนุนของเค้าผ่านช่องทางออนไลน์

โพสนี้บอกไว้ว่าแค่ทำเทสง่ายๆ แค่ไม่กี่อย่าง ก็สามารถหาเงินจากผู้สนับสนุนของเค้าเพิ่มมากขึ้นกว่า 60 ล้านเหรียญได้เลย 

ดูรายละเอียดของ Optimizely ได้ที่ https://www.optimizely.com/

VWO

ชื่อเต็มๆ คือ Visual Website Optimizer ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นิยมนำมาใช้ในการทำ CRO เช่นกันครับ
สมัครใช้งาน VWO ได้ฟรี 30 วันที่ https://vwo.com/
สมัครใช้งาน VWO ได้ฟรี 30 วันที่ https://vwo.com/

สรุปเคล็ด(ไม่)ลับในการทำ CRO

จะเห็นได้ว่าการทำ Conversion Rate Optimization (CRO) นั้นมีแต่ข้อดีที่สามารถทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตขึ้นได้ เช่น มีลูกค้าเพิ่มขึ้น หรือว่ากลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น อีกทั้งทำให้คุณเสียเงินค่าโฆษณาลดลง โดยที่ลูกค้าไม่ลดตาม อีกทั้งเครื่องมือที่จะนำมาใช้ก็ไม่ต้องเสียเงินด้วย

ตอนนี้ก็อยู่ที่พวกคุณแล้วล่ะครับว่า…

…จะเริ่มทำ CRO เพื่อที่จะช่วย “เพิ่มยอดเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ” เมื่อไหร่กันดีครับ? 

อรรถทวี เจริญวัฒนวิญญู

ปล. หากว่าคุณกำลังมองหาคอร์สเกี่ยวกับการวัดผลธุรกิจออนไลน์ของคุณด้วย Google Analytics ก็สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางลิงค์นี้ https://www.konvertive.com/google-analytics-mastery/ ได้เลยครับ ขอบคุณครับ

ฝากแชร์ต่อให้เพื่อนๆ ด้วยนะครับ 😊 ขอบคุณครับ 🙏

อ่านต่อโพสต์ที่น่าสนใจ